Toey Tarinee
วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
10 อันดับ มหาวิทยาลัยรัฐบาลน่าเรียนที่สุดในประเทศไทย
" 10 อันดับ มหาวิทยาลัยรัฐบาลน่าเรียนที่สุดในประเทศไทย "
โดย:ไทยรัฐออนไลน์ ทั้ง 10 อันดับไม่มีการเรียงอันดับ
1.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เดิมคือ โรงเรียนฝึกหัดวิชาข้าราชการพลเรือน ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ตราพระเกี้ยว เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย 4 คณะแรกคือ คณะรัฐประศาสนศาสตร์(โรงเรียนข้าราชการพลเรือนเดิม ปัจจุบันเปิดใหม่คือ คณะรัฐศาสตร์ ) คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยได้รวมโรงเรียนราชแพทยลัยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของคณะ คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และ คณะวิศวกรรมศาสตร์
2.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เมื่อโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ถูกโอนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งใน คณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เป็นเวลา 8 เดือน ทำให้กลุ่มนักเรียนไม่พอใจไปปรึกษากับอาจารย์ปรีดี และในที่สุด ก็มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยแห่งที่ 2 ของไทยขึ้น ในชื่อ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง พร้อมโอนทรัพย์สินทั้งหมดของโรงเรียนกฎหมาย และ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ มาขึ้นต่อมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ 4 คณะแรกคือ คณะรัฐศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ และ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี เมื่อถึงสมัยรัฐบาลหนึ่งได้ถูกตัดคำว่าการเมืองออก และ ได้ใช้ชื่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาจนถึงปัจจุบัน
3.มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
แรกเริ่มคือโรงเรียนช่างไหม และชื่ออื่นๆ รัฐบาลได้รวมโรงเรียนกระทรวงเกษตราธิการและโรงเรียนวนศาสตร์(โรงเรียนป่าไม้เดิม จังหวัดแพร่) ขึ้นเป็น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 4 คณะแรกคือ คณะเกษตร คณะวนศาสตร์ คณะประมง คณะสหกรณ์ เป็นมหาวิทยาลัยแห่งที่ 3 ของไทย
4.มหาวิทยาลัยมหิดล
เดิมชื่อโรงแพทยากรและโรงเรียนราชแพทยาลัยตามลำดับ เมื่อครั้งสถาปนา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รัฐกาลที่ 6 ได้ทรงรวมโรงเรียนราชแพทยาลัยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ 4 คณะแรก คือ คณะแพทยาศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้เปลี่ยนชื่อเป็น คณะแพทยศาสตร์ ในพระราชบัญญัติแห่ง จุฬาฯ เมื่อสมัยรัชกาลที่ 8 ได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ขึ้น โดยแยกคณะทางสายวิทยาศาสตร์สุขภาพมาขึ้นกับมหาวิทยาลัยแห่งใหม่นี้ และโอนกลับคืนแก่จุฬาฯ และโอนให้คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ คณะสัตวแพทยศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ในรัชกาลปัจจุบันทรงเปลี่ยนชื่อเป็น มหาวิทยาลัยมหิดล
5.มหาวิทยาลัยศิลปากร
ชื่อเดิมโรงเรียนปราณีตศิลปกรรม กรมศิลปากร มีชื่อเสียงด้านศิลปกรรมและสถาปัตยกรรม
6.มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ชื่อเดิมโรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูง และ วิทยาลัยวิชาการศึกษา ในอดีตเป็นมหาวิทยาลัยที่มีวิทยาเขตมากที่สุดในประเทศไทย ปัจจุบันแต่ละวิทยาเขตแยกตัวเป็นมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น ม.บูรพา ม.ทักษิณ ม.มหาสารคาม ม.นเรศวร
7.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เป็นมหาวิทยาลัยภูมิภาคแห่งแรกของประเทศไทย คณะแรกตั้งคือ คณะมนุษยศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์
8.มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
ตั้งขึ้นที่จังหวัดเชียงราย โดยการเรียกร้องของชาวบ้านเพื่อสมเด็จย่า ในปี พ.ศ.2548 เคยได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยที่สวยที่สุดในประเทศไทย และ สวยที่สุดแห่งเอเชีย
9.มหาวิทยาลัยบูรพา
เดิมชื่อ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตบางแสน จ.ชลบุรี
10.มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะแรกตั้งคือ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลัยเอกชนและมหาวิทยาลัยราชภัฎจัดอันดับโดยwebometrics สถาบันจัดอันดับประเทศสเปน
" 10 อันดับ มหาวิทยาลัยเอกชนที่ดีที่สุดในประเทศไทย " เรียงลำดับ
1.มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
2.มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
3.มหาวิทยาลัยรังสิต
4.มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
5.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
6.มหาวิทยาลัยสยาม
7.มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
8.มหาวิทยาลัยศรีปทุม
9.มหาวิทยาลัยหัวเฉลียวเฉลิมพระเกียรติ
10.วิทยาลัยเซนต์หลุยส์
" 10 อันดับ มหาวิทยาลัยราชภัฏที่ดีที่สุดในประเทศไทย " เรียงลำดับ
1.มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
2.มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
3.มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
4.มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร
5.มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์
6.มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม
7.มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม
8.มหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพพรรณณี
9.มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
10.มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง
วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
เตรียมตัวก่อนสอบ
เทคนิคการจำ
1. พยายามทำความเข้าใจเสียก่อน อย่าจำสิ่งที่ไม่เข้าใจ
1. พยายามทำความเข้าใจเสียก่อน อย่าจำสิ่งที่ไม่เข้าใจ
2. พยายามสัมพันธ์สิ่งที่เรียนใหม่เข้ากับสิ่งที่เรียนมา
แล้วให้ได้
3. พยายามหาเนื้อหาใจความสำคัญให้ได้แล้วจำไว้ก่อน ส่วนย่อยจะมาเอง
4. พยายามบันทึกเนื้อหาอย่างมีระเบียบเป็นลำดับตามขั้นตอนที่เข้าใจง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้
5. บทเรียนใดที่ยาวให้แบ่งเป็นส่วน ๆ เสียก่อนอ่าน ทำบันทึก
6. พยายามใช้ขั้นตอนอันเป็นเหตุเป็นผลแก่กันในการช่วยจำ
7. พยายามเรียนให้มาก ถ้าเป็นได้ควรให้มากกว่าที่กำหนดไว้เป็นการขยายความรู้ประสบการณ์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
8. พยายามอย่าหยุดโดยเฉพาะการเรียนวิชาใหม่ หรือวิชายาก โดยแสวงหาความรู้เบี้องต้น และความรู้ก้าวหน้าตลอดเวลา
9. การท่องเป็นจังหวะจะช่วยให้ท่องจำได้ง่ายขึ้น
10. พยายามทบทวน หรือ ทำซ้ำ ๆ ด้วยวิธีการต่าง ๆ เท่าที่โอกาสจะอำนวย
การแก้ความเปลี้ยจากการอ่านหนังสือ
เมื่ออ่านหนังสือนาน ๆ อาจเกิดความอ่อนเพลียทางกายและทางสมองรวมไปถึง
สายตาด้วย ที่มักเรียกกันว่า เกิดความเปลี้ย ผู้รู้ได้แนะวิธีการแก้ (หลังพักพอควร)เพื่อสร้างความสดชื่นขึ้นใหม่ ดังนี้
1.แก้ร่างกายเมื่อยขบ เปลี้ยล้า
ใช้การบริหารร่างกาย หรือวิธีโยคะเข้าช่วย เช่น บิดตัวไปทางซ้าย หมุนกลับ
มาทางขวาช้า ๆ เมื่อยคอให้เงยหน้าช้า ๆ ขึ้นลงหลาย ๆ ครั้ง อาจใช้ผ้าเช็ดหน้า
เช็ดทั่วใบหน้าและลำคอแรง ๆ แล้ว นวดบางจุดเบา ๆ หรือใช้น้ำลูบหน้าหากอยู่
ที่บ้านอาจใช้วิธีดัดตน เช่น นั่งคุกเข่าข้างฝาห้อง หันหน้าออกก้มหัวยันพื้น
ใช้เท้าไต่ขึ้นบนฝาผนังห้อง จนตัวตั้งตรง ปล่อยเท้าทีละข้างให้เอนไปข้างหน้า
ช้า ๆ สลับไปมาเลือดจะเข้าสมองมากขึ้น ออกซิเจน จะไปเลี้ยงเซลล์ประสาท
เพิ่มขึ้นช่วยแก้ความเปลี้ยล้าได้มาก
การแก้ความเปลี้ยจากการอ่านหนังสือ
เมื่ออ่านหนังสือนาน ๆ อาจเกิดความอ่อนเพลียทางกายและทางสมองรวมไปถึง
สายตาด้วย ที่มักเรียกกันว่า เกิดความเปลี้ย ผู้รู้ได้แนะวิธีการแก้ (หลังพักพอควร)เพื่อสร้างความสดชื่นขึ้นใหม่ ดังนี้
1.แก้ร่างกายเมื่อยขบ เปลี้ยล้า
ใช้การบริหารร่างกาย หรือวิธีโยคะเข้าช่วย เช่น บิดตัวไปทางซ้าย หมุนกลับ
มาทางขวาช้า ๆ เมื่อยคอให้เงยหน้าช้า ๆ ขึ้นลงหลาย ๆ ครั้ง อาจใช้ผ้าเช็ดหน้า
เช็ดทั่วใบหน้าและลำคอแรง ๆ แล้ว นวดบางจุดเบา ๆ หรือใช้น้ำลูบหน้าหากอยู่
ที่บ้านอาจใช้วิธีดัดตน เช่น นั่งคุกเข่าข้างฝาห้อง หันหน้าออกก้มหัวยันพื้น
ใช้เท้าไต่ขึ้นบนฝาผนังห้อง จนตัวตั้งตรง ปล่อยเท้าทีละข้างให้เอนไปข้างหน้า
ช้า ๆ สลับไปมาเลือดจะเข้าสมองมากขึ้น ออกซิเจน จะไปเลี้ยงเซลล์ประสาท
เพิ่มขึ้นช่วยแก้ความเปลี้ยล้าได้มาก
2.แก้ความง่วง เบื่อ ไม่อยากอ่าน
ใช้การหายใจช่วย ครั้งแรงพ่นอากาศออกจากปอดผ่านจมูกให้แรงที่สุด จนหมดสิ้น
ห่อปากให้เป็นรูเล็ก ๆ แล้วพ่นอากาศเสียที่หลงเหลืออยู่ออกไปจนหมด ค่อย ๆ สูด
อากาศดีผ่านจมูกเข้าปอดช้า ๆ อาจนับ 1 ถึง 15 ช้า ๆ ให้อากาศอัดแน่น เต็มปอด
จนสุดจะหายใจเข้าได้อีก แล้วหายใจออกช้า ๆ เหมือนข้างต้น ทำดังกล่าว 2-3 ครั้ง
จะแก้ความง่วง เบื่อการอ่านลงไปได้
(แนะนำว่าถ้าง่วงมาก ๆ ก็อย่าฝืนนะคะ เพราะหากเรารู้สึกทึบ ๆ หรือไม่สบายในวันสอบก็ทำข้อสอบไม่ได้ดีหรอกค่ะ ให้ฟุบลงซักพัก หรือนอนพักสักชั่วโมงสองชั่วโมงก็ดีนะคะ)
ใช้การหายใจช่วย ครั้งแรงพ่นอากาศออกจากปอดผ่านจมูกให้แรงที่สุด จนหมดสิ้น
ห่อปากให้เป็นรูเล็ก ๆ แล้วพ่นอากาศเสียที่หลงเหลืออยู่ออกไปจนหมด ค่อย ๆ สูด
อากาศดีผ่านจมูกเข้าปอดช้า ๆ อาจนับ 1 ถึง 15 ช้า ๆ ให้อากาศอัดแน่น เต็มปอด
จนสุดจะหายใจเข้าได้อีก แล้วหายใจออกช้า ๆ เหมือนข้างต้น ทำดังกล่าว 2-3 ครั้ง
จะแก้ความง่วง เบื่อการอ่านลงไปได้
(แนะนำว่าถ้าง่วงมาก ๆ ก็อย่าฝืนนะคะ เพราะหากเรารู้สึกทึบ ๆ หรือไม่สบายในวันสอบก็ทำข้อสอบไม่ได้ดีหรอกค่ะ ให้ฟุบลงซักพัก หรือนอนพักสักชั่วโมงสองชั่วโมงก็ดีนะคะ)
3.แก้ความเปลี้ยของการใช้สายตา
เมื่อใช้สายตานานควรพักเสียบ้าง ให้มองสิ่งที่อยู่ไกลโล่ง ๆ ดูยอดไม้เขียว ๆ
มองภาพหรือทิวทัศน์ (ทัศนียภาพ) ที่ห่างออกไปมาก ๆ ถ้าเป็นเวลากลางคืน
ให้มองท้องฟ้า ดูดาวอันระยิบระยับ กล้ามเนื้อตาจะค่อย ๆ คลายตัว
ถ้าอยู่ในห้องใช้การมองผนังห้องติดรูปภาพทิวทัศน์ต่าง ๆ จะช่วยได้มาก
หรือดูทิวทัศน์จากหน้าต่าง มองให้ไกลออกไปให้เต็มที่ (เต็มตา) แล้วหลับตา
ทำจิตให้สงบสร้างสมาธิด้วยการหายใจเข้าออกช้า ๆ หายใจเข้าให้เต็ม (ปอด)
หายใจออกให้หมด จะช่วยแก้ความเปลี้ยและอาการปวดตาลงได้
***ขอเพิ่มอีกนิดนะคะสำหรับการเตรียมตัวสอบในระยะยาว***
-ให้เก็บความรู้ในห้องเรียนให้ได้มากที่สุดและทวนเป็นประจำ
-หัดสรุปโน๊ตย่อสาระสำคัญในแต่ระเรื่องจะช่วยให้ความจำดีขึ้น
-พอใกล้ถึงเวลาสอบก็ทบทวนกับสาระที่เราสรุปไว้เอา
-วันสุดท้ายก่อนสอบนอนให้เต็มอิ่มที่สุด
(เดี๋ยววันหลังถ้ามีอีกจะเอามาเพิ่มนะคะ)
ถ้าทำไม่ได้หมดก็ทำข้อที่ทำได้คงช่วยได้บ้างค่ะ
สูบได้ตามสบาย หุหุ
(ขอเม้นนิดหนึ่งนะคะ)
เมื่อใช้สายตานานควรพักเสียบ้าง ให้มองสิ่งที่อยู่ไกลโล่ง ๆ ดูยอดไม้เขียว ๆ
มองภาพหรือทิวทัศน์ (ทัศนียภาพ) ที่ห่างออกไปมาก ๆ ถ้าเป็นเวลากลางคืน
ให้มองท้องฟ้า ดูดาวอันระยิบระยับ กล้ามเนื้อตาจะค่อย ๆ คลายตัว
ถ้าอยู่ในห้องใช้การมองผนังห้องติดรูปภาพทิวทัศน์ต่าง ๆ จะช่วยได้มาก
หรือดูทิวทัศน์จากหน้าต่าง มองให้ไกลออกไปให้เต็มที่ (เต็มตา) แล้วหลับตา
ทำจิตให้สงบสร้างสมาธิด้วยการหายใจเข้าออกช้า ๆ หายใจเข้าให้เต็ม (ปอด)
หายใจออกให้หมด จะช่วยแก้ความเปลี้ยและอาการปวดตาลงได้
***ขอเพิ่มอีกนิดนะคะสำหรับการเตรียมตัวสอบในระยะยาว***
-ให้เก็บความรู้ในห้องเรียนให้ได้มากที่สุดและทวนเป็นประจำ
-หัดสรุปโน๊ตย่อสาระสำคัญในแต่ระเรื่องจะช่วยให้ความจำดีขึ้น
-พอใกล้ถึงเวลาสอบก็ทบทวนกับสาระที่เราสรุปไว้เอา
-วันสุดท้ายก่อนสอบนอนให้เต็มอิ่มที่สุด
(เดี๋ยววันหลังถ้ามีอีกจะเอามาเพิ่มนะคะ)
ถ้าทำไม่ได้หมดก็ทำข้อที่ทำได้คงช่วยได้บ้างค่ะ
สูบได้ตามสบาย หุหุ
(ขอเม้นนิดหนึ่งนะคะ)
ศัพท์ภาษาอังกฤษน่ารู้
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ 100 คำแรกที่ใช้บ่อยสุดๆ สำหรับฝรั่งเขานะครับ เป็นคำที่ใช้พูดในชีวิตประจำวัน แต่เราอาจเห็นว่าบางคำไม่นาจะอยู่ในหมวดหมู่คำที่ใช้บ่อยก็มี แต่สำหรับเจ้าของภาษาเขาบอกว่านี่แหละ ใช้บ่อยสุดๆแล้ว
ว่าแล้วก็มาดูกันเลยครับว่าคำที่ใช้บ่อยที่ว่าหน่ะ มีคำไหนบ้างที่เราไม่รู้จัก อย่าให้เยอะนะครับ เพราะคำเหล่านี้มันเป็นคำพื้นฐานอยู่แล้ว ถ้าไม่รู้จักคำพื้นฐานเหล่านี้ก็แย่เลย
ที่ | คำศัพท์ | คำอ่าน | คำแปล |
1 | a | อะ | หนึ่ง |
2 | about | อะเบ้า | ประมาณ, เกี่ยวกับ |
3 | all | ออล | ทั้งหมด |
4 | an | แอน | หนึ่ง |
5 | and | แอนด | และ |
6 | are | อา | เป็น อยู่ คือ |
7 | as | แอส | ราวกับ, เพราะว่า |
8 | at | แอท | ที่ |
9 | be | บี | เป็น อยู่ คือ |
10 | big | บิก | ใหญ่ |
11 | but | บัท | แต่ |
12 | by | บาย | โดย |
13 | can | แคน | สามารถ |
14 | do | ดู | ทำ |
15 | down | ดาวน | ลง |
16 | father | ฟ๊าเดอะ | พ่อ |
17 | first | เฟิสท | ที่หนึ่ง |
18 | for | ฟอ | สำหรับ |
19 | from | ฟรอม | จาก |
20 | good | กุด | ดี |
21 | hate | เฮท | เกลียด |
22 | have | แฮฝ | มี |
23 | he | ฮี | เขา |
24 | her | เฮอ | หล่อน |
25 | him | ฮิม | เขา |
26 | his | ฮิส | ของเขา |
27 | I | ไอ | ฉัน |
28 | if | อิฟ | ถ้า |
29 | in | อิน | ใน |
30 | into | อินทู | ไปใน |
31 | is | อิส | เป็น อยู่ คือ |
32 | it | อิท | มัน |
33 | just | จัสท | เพิ่งจะ, เพียงแค่ |
34 | like | ไลค | ชอบ |
35 | listen | ลิ๊สซึนด | ฟัง |
36 | little | ลิ๊ทเทิล | เล็ก |
37 | love | ลัฝ | รัก |
38 | make | เมค | ทำ |
39 | man | แมน | ผู้ชาย |
40 | many | เม็นนิ | มาก |
41 | may | เม | อาจจะ |
42 | more | มอ | มากกว่า |
43 | most | โมสท | ที่สุด |
44 | mother | มั๊ธเดอะ | แม่ |
45 | my | มาย | ของฉัน |
46 | near | เนีย | ใกล้ |
47 | no | โน | ไม่ |
48 | not | น็อท | ไม่ |
49 | now | นาว | ตอนนี้ |
50 | of | ออฟ | ของ |
51 | on | ออน | บน |
52 | one | วัน | หนึ่ง |
53 | only | โอ๊นลิ | เท่านั้น |
54 | or | ออ | หรือ |
55 | other | อั๊ธเดอะ | อื่น |
56 | out | เอ๊าท | ออก, นอก |
57 | over | โอ๊เวอะ | เหนือ |
58 | people | พี๊เพิล | ผู้คน |
59 | read | รีด | อ่าน |
60 | said | เซด | พูด |
61 | say | เซ | พูด |
62 | see | ซี | เห็น |
63 | she | ชี | หล่อน |
64 | should | ชุด | น่าจะ |
65 | slow | สโล | ช้า |
66 | small | สมอล | เล็ก |
67 | so | โซ | ดังนั้น |
68 | some | ซัม | บาง (คน, อัน, ตัว) |
69 | stop | สต็อพ | หยุด |
70 | than | แดน | กว่า |
71 | that | แด็ท | นั่น |
72 | the | เดอะ | – |
73 | then | เด็น | ต่อมา |
74 | there | แด | ที่นั่น |
75 | they | เด | พวกเขา |
76 | this | ดิส | นี่ |
77 | through | ธรู | ผ่าน |
78 | to | ทู | สู่ |
79 | true | ทรู | จริง |
80 | two | ทู | สอง |
81 | up | อัพ | ขึ้น |
82 | use | ยูส | ใช้ |
83 | very | เว๊ริ | มาก |
84 | was | วอส | เป็น อยู่ คือ |
85 | water | ว๊อเทอะ | น้ำ |
86 | way | เว | ทาง |
87 | we | วี | พวกเรา |
88 | were | เวอ | เป็น อยู่ คือ |
89 | what | ว็อท | อะไร |
90 | when | เว็น | เมื่อไหร่ |
91 | where | แว | ที่ไหน |
92 | which | วิช | อันไหน |
93 | who | ฮู | ใคร |
94 | will | วิล | จะ |
95 | with | วิธ | กับ |
96 | woman | วู๊เมิน | ผู้หญิง |
97 | would | วุด | จะ |
98 | write | ไรท | เขียน |
99 | yes | เยส | ใช่ |
100 | you | ยู |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)